วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นิสสันประกาศ Nissan Sylphy เข้าไทยแน่

เท่าที่ผมทราบมาซักพักแล้วว่า ไอ้เจ้า Sylphy นั้นเป็นรถซีดานที่เป็นหนึ่งในกระแสของข่าวเปิดตัวรถใหม่ของค่าย Nissan ซึ่งถึงเวลานี้ก็คงจะค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า Nissan Sylphy จะเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราเป็นแน่แท้ แต่พอเข้ามาทำตลาดในไทยแล้วจะใช้ชื่อว่า Sylphy หรือเปล่าอันที่ก็ต้องติดตามต่อไปอีกหน่อย โดยทาง Nissan ก็ได้เปิดเผยข้อมูลเรื่องเครื่องยนต์ที่จะมาประจำการใน Sylphy นี้ว่าเป็นรหัส L12F ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ของรถระดับ C-Segment

ทาง Nissan Motor ได้ทำการเปิดตัว All New Nissan Sylphy 2013 อย่างเป็นทางการแล้วที่งาน Auto China 2012 หรืองาน Beijing Auto Show 2012 ประเทศจีน เมื่อวันที่วันที่ 23 เมษายน 2012 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดตัว All New Nissan Sylphy เป็นที่แรกของโลกด้วย

Sylphy ที่อ่านว่า ซิลฟี่ กำลังจะเป็นรถ compact sedan คู่แข่ง Corolla, Civic, Lancer, Cruze, Mazda 3, Focus กำหนดขายเดือนกรกฎคม-สิงหาคมนี้

ก่อนหน้านั้นมีรถต้นแบบที่ชื่อว่า Ellure ที่ดูเป็นรถมาดสปอร์ตซีดานที่ดูเข้าท่าที่สุด และเหมาะที่จะทำเป็น production car ที่สุด มีขนาดบอดี้ประมาณ C segment พอดี แต่น่าเสียดายเล็กน้อยที่ ฝ่ายพัฒนาไม่ได้ตั้งใจทำรถ sport sedan อย่างที่หลายคนคาดหวังหรือเข้าใจว่าจะเป็นยังงั้น

สิ่งที่คนมองข้ามไปก็คือ (1) Nissan คือค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่สร้างรถสปอร์ตอย่างเป็นล่ำเป็นสัน (2) รถซีดานของ Nissan นั่งสบายโอ่โถงและไม่ใช่สปอร์ต (3) ก่อนหน้านั้น Nissan ทำรถตัวเองให้เล็กกว่า segment ของคนอื่นครึ่งขั้น แต่เดี๋ยวนี้ Nissan กำลังจะทำรถให้ใหญ่กว่าคู่แข่งไปอีกขั้นแทน ดูที่Almera

ความมุ่งหมายของ Nissan ค่อนข้างชัดเจน แต่ไม่ได้ออกมาแถลงตรงๆ เป้าหมายแรกคือ ลบล้างความเชยของ Latio เป้าหมายสองคือทำรถ compact รุ่นใหม่สำหรับตลาด global โดยยุบ Sylphy-Sentra-Pulsar เข้าด้วยกันเป็นโมเดลเดียว ทำตลาดทั่วโลก และมี key point ในการทำรถให้ดูใหญ่กว่า มองไปถึงขั้น ทำรถให้ดูเป็น D segment กันเลยทีเดียว

เมื่อ Ellure ดูสปอร์ตถูกใจวัยรุ่นคนหนุ่มสาวมาก แต่แผนการคือการทำรถ global ที่เอาใจเข้าไปสู่ในหัวใจลูกค้าวงกว้าง ขนาดที่ต้องทำให้ใหญ่กว่าดูภูมิฐานกว่า แข็งแรงกว่า หรูหรากว่า จึงเป็นคนละทางกับรถต้นแบบ Ellure จนกระทั่งผู้พัฒนาต้องเอ่ยปากว่า Ellure ที่จริงไม่ได้เป็นรถต้นแบบโดยตรงให้กับรถรุ่นไหนทั้งสิ้น และ Sylphy ใหม่ก็ไม่ได้ไปในทางเดียวกับ Hyundai Elantra, Mazda 3, Honda Civic จริงๆ แต่จะพบว่า ในระดับราคาเดียวกับ Corolla, Civic ลูกค้าจะได้รถตัวถังใหญ่กว่า กว้างขวางกว่า ดุจดังรถที่คลาสเหนือกว่า ในขณะที่ด้าน สมรรถนะ และความประหยัดน้ำมัน Nissan ก็ทำงานหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้ด้วย


VDO clip นี้ผมตัดต่อจากของ Nissan อีกที Sylphy ตอนที่วิ่งนั้น ดูมีความ firm หรือมั่นคง และมีบุคลิกที่มีความเป็นผู้ใหญ่ เหมือนกับครั้ง Almera ที่ Sylphy ได้รับสิ่งที่เป็นพิมพ์นิยมมารวมกันหลายจุด บอดี้ที่ดูแข็งแรงเพราะมีกล้ามเนื้อ ไฟหน้า-หลัง ที่ไม่ฉีกแนวก็จริงแต่ก็สวยตามมาตรฐานรถปัจจุบันเนื่องจาก Sylphy มีเครื่องยนต์ขนาด 1.6L และ 1.8L แต่ก็ต้องขับเคี่ยวกับรถคู่แข่งที่มี option มากมาย แต่ก็กระจุกอยู่ที่รุ่น 2.0 ดังนั้นคงได้ซื้อรุ่นท๊อปเครื่องยนต์ 1.8L ราคาย่าน 8-9 แสนแต่มี option ครบระดับรถคู่แข่งที่มีราคาเกินล้าน แต่ยังได้บอดี้ที่ใหญ่กว่า แต่ประหยัดน้ำมันตาม Nissan เคลมไว้ได้รึเปล่านะ

Nissan  Sylphy   มีขนาดยาว  4610mm กว้าง 1760mm สูง 1495 mm และมีฐานล้อยาว   2700 mm
ขนาดตัวรถโดยรวมนับว่าใหญ่ที่สุดในระดับ C segment ด้วยกัน โดยแคบกว่า Cruze ที่กว้างกว่า 3 cm และ Teana ที่กว้างกว่า 3.5 cm

มีความยาวที่เฉือน Cruze ไป 1 cm แต่สำหรับการจัดการบริหารพื้นที่ภายในที่มีชื่อด้านความโอ่โถงของห้องโดยสาร Nissan เคลมว่า Sylphy จะนั่งสบายและทำให้ลูกค้านึกไปถึงรถระดับ D segment ยังไงก็ดี Sylphy ก็ยังมีความยาวห่างจากรถ D segment อยู่ร่วม 20 cm โดยความยาวของ Sylphy รุ่นนี้สั้นกว่ารุ่นที่แล้ว ที่ไม่ได้ขายในไทยอยู่ 5.5 cm ซึ่งทีแรกก็เข้าใจว่า Sylphy รุ่นใหม่จะขยายความยาวตัวเองให้ไปอยู่ที่ระดับ 4.7 เมตรเพื่อให้เข้าใกล้ D segment มากขึ้นซะอีก

ถือว่า Almera ทำตัวเองให้ใกล้ C segment ได้เก่งกว่า

ตัวเลขความสูงของ Sylphy อยู่เหนือกว่ารถขนาด D segment ซะอีก งานนี้ มีหวังเรื่อง Headroom ด้านหลัง ว่าจะทำได้ระดับทัดเทียมกันรึเปล่า

                   มิติ กว้างxยาวxสูง         ฐานล้อ
Accord         4946 x 1845 x 1476      2800
Teana         4850 x  1795 x 1485     2775
Camry         4825 x 1825 x 1470      2775
Sylphy         4610 x 1760 x 1495      2700
Cruze          4600 x 1790 x 1475      2685
Mazda 3      4580 x 1755 x 1470      2640
Lancer         4570 x 1760 x 1490      2635
Corolla         4540 x 1760 x 1465      2600
Civic            4540 x 1755 x 1435      2700


Kinichi Saito ซึ่งเป็น Designer ของ Nissan กล่าวว่า องค์ประกอบรวมมีความสำคัญในการสร้างรถซีดาน
ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก  องค์ประกอบของห้องโดยสารที่มีพื้นที่ภายในที่ทำออกมาถูกต้องเหมาะสม มีที่เก็บของ
ด้านหลังใหญ่เพียงพอหรือไม่ เป็นคอนเซ็ปท์การใช้งานของรถ sedan แท้ๆ แต่ด้านการออกแบบก็ต้องดูมีสไตล์มากๆ ครับ

สิ่งแรกของ project นี้คือ รถต้องมีคุณภาพสูง ประสบการณ์ความหรูหราภายในสิ่งสำคัญด้านนอกคือด้านหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟหน้าที่เลือกใช้ไฟหน้าแบบ LED ซึ่งใช้น้อยในคลาส C segment และพยายามอย่างมากในการออกแบบไฟหน้า ให้แสดงออกของความเป็นดวงตาที่น่าดึงดูด

ด้านข้าง มีความนูนเด่นตรงแก้มด้านหน้าที่ต่อเนื่องเป็นเส้นสายหลักของบอดี้ ต่อเนื่องไปจนถึงไฟท้ายให้ความรู้สึกถึงความกระฉับกระเฉง และสื่อความหมายถึงการวิ่งของรถที่วิ่งได้เรียบดีมากในห้องโดยสารมีห้องโดยสารขนาดใหญ่ มีความเป็นปัจเจกบุคคล และมีสไตล์

ไฟท้ายมีหลอด LED 15 ดวง เวลาส่องแสงดูรถมีคุณภาพสูง และดูอนาคต กันชนหลังออกแบบมาเพื่อตั้งใจให้รถดูเหมือนเตี้ยและกว้างกว่าที่มันเป็นจริงๆ ส่วน Interior ภายในตั้งใจออกแบบเน้นให้ดูมีความกว้างขวางและทำให้จิตใจของคนนั่งมีความสงบและยังมีความรู้สึกถึงคุณภาพสูงจากการสร้างที่ละเอียดละออ

จุดสำคัญคือ การเริ่มต้นเป้าหมายที่จะออกแบบรถยนต์ซีดานรุ่นใหม่ของ Nissan ที่รวมองค์ประกอบหลายแง่มุมมาจากสิ่งรอบๆ ตัวเรา จะจากมุมมองระดับโลกในหลายๆ แบบ ทำให้เข้ากันทั้ง ด้านประโยชน์การใช้สอยความต้องการของลูกค้า และความต้องการหลายๆ อย่างที่ไม่ใช่เพียง styling แบบพื้นๆ  แต่ก็ผลิตและพัฒนารถรุ่นนี้ภายใน price range ที่กำหนดเอาไว้แล้วครับ (ราคาจึงน่าจะไม่แพงมากนักนะครับ)

ด้านหน้าของ Sylphy ที่มีขนาดใหญ่ดูทรงพลังแบบรถ D segment แต่ก็ดูพุ่งไปข้างหน้า ไม่เชื่องช้าเช่นเดียวกัน อันเป็นบุคลิกที่แตกต่างจากรถสปอร์ตซีดานที่ดูบอบบางกว่า เส้นบ่าได้รับมาจาก Ellure ซึ่งเป็นบุคลิกใหม่ของรถยนต์ Nissan ทำให้ช่วงบ่าเหนือล้อคู่หน้าดูมีพลังมากขึ้น และส่งต่อพลังไปยังด้านหลัง อันเป็นบุคลิกเด่นของรถขับเคลื่อนล้อหน้า FF อย่างแท้จริง


เมื่อมองด้านข้าง กรอบหน้าต่างไม่ได้มาจากที่ไหน นอกจากมาจาก Teana กับ Fuga รถรุ่นใหญ่ ระดับ E segment หรือ Full-size sedan ของค่าย Nissan นี่เอง แต่มองด้านข้างแล้วดูคล้ายกับ Fuga มาก มิน่าคุณ Toru Komizo CPS (Chief Product Specialist) ที่ให้สัมภาษณ์ด้วย ถึงกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อพูดถึง Sylphy ที่ออกแบบมาโดยอิงกับรถใหญ่เป็นหลัก (ถึงกับข้าม D segment ไปหา E segment กันเลยทีเดียว)


โคมไฟหน้าแบบ LED ที่คุณ Kinichi Saito พิถีพิถันออกแบบรายละเอียดเพื่อตั้งใจให้มีสเน่ห์ดุจดวงตา แล้วยังมี DRL Daytime Running Lights อยู่ภายในอีกด้วย


บริเวณนี้ก็น่าจะออกแบบเป็นพิเศษ เพราะว่า ช่องสามเหลี่ยมสีดำเล็กๆ เข้ากันได้ดีกับกระจกข้างที่มีไฟเลี้ยวทรงเรียวงามเป็นอย่างมาก เสียดายที่ไม่มีไฟส่องสว่างข้างตัวรถอยู่ใต้กระจก

Kenichi Miyoshi : Chief Vehicle engineer  กล่างว่าธีมของรถคือ "the global C segment sedan" ใน C segment
ลูกค้ามองหาคุณลักษณะต่างๆ ตลอดเวลาคุณลักษณะเช่น ความกว้าง ความสบาย และความประหยัดน้ำมัน มากกว่าแค่ การมีอุปกรณ์พิเศษ หรือรถยนต์ที่มีบุคลิกลักษณะโดดเด่นไม่เหมือนใครครับ

นอกจากนั้น ยังมีในด้านของการประกอบที่มีคุณภาพสูง หรือความเงียบของรถ คือส่วนที่ลูกค้าพิจารณาเวลาตัดสินใจที่จะซื้อรถรุ่นไหน

เมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว จากจุดเริ่มต้นแรกสุดเราต้องคิดว่าจะเริ่มสร้างรถคันนี้ยังไง เพื่อที่จะทำให้มัน เหนือกว่า segment คู่แข่ง 1 ขั้น "one-class-above" เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ วิศวกรแต่ละคนต้องคิดค้นวิธี (ไคเซ็น) สำหรับแต่ละ part ที่ตนเองได้รับมอบหมาย เมื่อทุกกระบวนการรวมเข้าด้วยกัน ก็จะทำให้เกิดรถที่ดีจริงๆ ขึ้นมาครับ

เรารู้ว่าในแต่ละตลาดลูกค้าต้องการรถแบบไหนจากข้อมูลประสบการณ์ของเราที่ผ่านมา ในท้ายที่สุด อย่างไรก็ดี รถถูกนำไปที่แต่ละตลาดเพื่อการประเมิน แล้วเราค่อยตัดสินใจการ setting ครั้งสุดท้ายสำหรับตลาดนั้นๆ อีกที ยกตัวอย่างอันหนึ่ง คือเราได้เรียนรู้จากการประเมินเหล่านี้ที่เรารู้อยู่แล้วว่า ลูกค้ามีความรู้สึกอ่อนไหวต่อ ผิวของถนน หรือเสียงลมแตกต่างกันไปในแต่ละตลาด ในตลาดตะวันตกจะรู้สึกถึงเสียงที่มีความถี่สูงได้ง่ายกว่า ในขณะที่ในเอเชียจะสัมผัสเสียงรบกวนแตกต่างกันเล็กน้อย ความแตกต่างในการรู้สึกสัมผัสมาจากการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน และปัจจัยอื่นๆ ดังนั้นเราจึงจัดการวิธีการในการพัฒนารถตามแบบนั้น

การไล่ตาม "high quality" คือธีมของ project นี้ ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าจีนมองว่าเบาะที่นั่งสบายคือเบาะที่นุ่มมากๆ เหมือนกับเก้าอี้โซฟา ในทางตรงกันข้าม เช่นตลาดอเมริกา ลูกค้าต้องการเบาะนั่งที่ firm กว่า และทำให้ตัวนิ่งๆ มากกว่าเพื่อให้ได้ตามความคาดหมายของลูกค้าเหล่านั้น เราได้ออกแบบ เบาะรองนั่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งต้องคิดเยอะในการพิจารณาดูชิ้นส่วนแต่ละชิ้นใหม่ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เราต้องการทำสำหรับการสร้างโมเดลรถระดับ global  หนึ่งโมเดล แต่เนื้อในแตกต่างกัน

รถคันนี้มีแก่นสำคัญจริงๆ เป็นรถที่ถูกผลิตและออกแบบในทิศทางที่ถูกต้อง ถึงแม้มันจะเป็นรถ C segment แต่มันจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเค้าได้ใช้รถที่เหนือว่าไปอีก 1 ขั้น ลูกค้าจะต้องรู้สึกถึงศิลปะในการสร้างและ ความสมดุลย์ของผลิตภัณฑ์เวลาที่ขับ เราเชื่อมั่นว่ารถคันนี้จะไม่ทำให้เสียความคาดหวัง และดูดีกว่ารถยนต์คู่แข่งครับ


กันชนหลังของรถ เน้นออกแบบให้ดูเตี้ยและกว้างกว่าที่เป็น อันเป็นสิ่งที่ทำให้ท้ายรถดูกระฉับกระเฉงขึ้นอีก ไฟท้ายที่ละม้ายกับ E Class รุ่นปัจจุบัน แต่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าอีกหน่อย ทำให้รถดูไม่ท้ายห้อย เน้นความหรูหราด้านหลังแบบนี้ทำให้นึกถึง D segment หลายๆ รุ่น แต่ garnish ที่ชุดโครเมี่ยม มีขนาดกำลังพอเหมาะพอเจาะ ไม่หรูหรือเยอะมากจนเกินไป


Sylphy จะมีเครื่องยนต์สองกำลัง คือ 1.6 และ 1.8 เท่านั้น แต่จะไม่มีรุ่น 1.6 Turbo เหมือนกับ Tiida ดังนั้น Sylphy จึงเน้นความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ซึ่งทำให้ Nissan แยกตลาดสำหรับลูกค้าได้กว้างขึ้น เครื่องยนต์จับคู่กับเกียร์ อัตโนมัติ xtronic CVT ทำให้อัตราเร่งดี มีแรงบิดที่ต่อเนื่อง เน้นประหยัดน้ำมัน


ยางที่ใช้เป็นขนาด 205/50 R17 ถือว่าขนาดใหญ่ปานกลาง เพราะบางรุ่นไปถึงล้อ 18 แล้ว ในรุ่นล่าง 1.6 คาดว่าน่าจะใช้ยาง 195/60 R16 บอดี้ที่ใหญ่ทำให้ล้อดูเล็กกว่าความจริงไปบ้างเล็กน้อย ที่เปิดประตูด้านข้าง อยู่ตำแหน่งต่ำกว่า Sylphy รุ่นที่แล้ว เพื่อให้เส้นบ่ามีความต่อเนื่อง

Toru Komizo : Nissan Chief Product Specialist
กล่าวว่า ท่ามกลางการแข่งขัน เรายึดถึงสิ่งที่จำเป็นสำหรับ global C segment sedan นั่นก็คือขนาดและสเป็ค ตอนที่เราทำการวิจัยนั้น เราค้นพบว่า ลูกค้า C segment เป็นลูกค้าที่ฉลาดพวกเค้าต้องมีความมั่นใจเวลาที่ตัดสินใจซื้อรถ รถจะต้องมีขนาดใหญ่กว่าคลาสเดียวกัน แต่จะต้องประหยัดน้ำมันที่สุด

มีสิ่งที่ต้องจำก็คือลูกค้ารู้สึกสัมผัสแห่งคุณภาพได้หรือเปล่าเวลาที่นั่งที่เบาะคนขับ หรือเวลาที่สัมผัสภายในรถ และอุปกรณ์ต่างๆ ถูกต้องรึเปล่า ในขณะที่อยู่ในสายหลัก รถคันนี้ต้องมีสมรรถนะดี และต้องมีสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อ ด้านสมรรถนะกับด้านสิ่งของอุปกรณ์ต่างๆ ต้องมีความสมดุลย์กันเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ

ผมคิดว่า คำพูดสำคัญก็คือ ครึ่งก้าวที่นำไปข้างหน้า "half a step ahead" ยกตัวอย่างเช่น มันเป็นความจริงเรื่องขนาดของการออกแบบ ถ้าเกิดว่าคุณทำให้ที่นั่งด้านหลังมีความกว้างได้เท่ากับคู่แข่งในระดับ D segment และเสียงรบกวนก็เงียบในระดับนั้นเช่นกันบริเวณต่างๆ เช่นตำแหน่งของที่ปัดกระจกหน้า ความประทับใจที่ลูกค้าจะได้รับเวลาที่เปิดฝากระโปรงบริเวณเหล่านั้นออกแบบมาให้รู้สึกถึงความเป็น D segment

การประหยัดน้ำมันสามารถประหยัดได้เท่าๆ กับ B segment ผมมั่นใจว่าลูกค้าจะต้องรู้สึกได้ว่าพวกเค้านั้นตัดสินใจได้ยอดเยี่ยมแล้ว นิสสันในทวีปต่างๆ พบว่า นี่คือรถยนต์ที่ดีมากๆ และยืนยันกลับมาว่าพวกเค้าจะสามารถขายได้จำนวนมาก นี่ทำให้เรามองเป้าหมายที่สูงขึ้นที่รถคันนี้ไม่เพียงแต่มีระบบการพัฒนา/ผลิตสินค้า  (Monozukuri)ปกติ แต่ยังมีด้านการตลาด และการสื่อสารเข้ามาร่วมด้วยการได้ทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมภาคพื้นทวีปทำให้เรารู้สึกก้าวหน้าอย่างมั่นใจ

มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับลูกค้าที่จะเห็นสเน่ห์ของรถคันนี้ตอนที่ดูโบรชัวร์ โฆษณาทางทีวี หรือดูรถตัวจริงที่โชว์รูม พวกเค้าจะเห็นได้ทันทีถึงภายนอกที่หรูหรา แต่ตอนที่นั่งข้างในรถก็จะยิ่งประหลาดใจในความกว้างขวางโอ่โถง และตอนที่ test drive ลูกค้าจะได้สัมผัสถึงความเงียบสงบ ท้ายสุด เมื่อลูกค้าซื้อไปแล้วจะต้องพบกับความประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมอย่างแน่นอน เพราะว่าพวกเราสามารถบรรลุสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว ดังนั้น ผมมั่นใจว่าลูกค้าจะรู้สึกพอใจกับรถคันนี้ และผมมั่นใจที่จะส่งรถคันนี้ออกไปสู่โลกครับ


ภายในของ Sylphy เน้นความหรูหรานั่งสบาย ราวกับ Teana ฉบับย่อ และก่อนหน้านี้ Almera ก็ได้รับการเคลมว่ามีเนื้อที่ด้านหลังเทียบชั้นกับรถระดับ mid-size แต่ Sylphy ที่มีฐานล้อยาวกว่า Almera อีก 10 cm น่าจะจัดการพื้นที่ด้านหลังได้ดีกว่าอย่างแน่นอน ทุกที่นั่งมีเบาะรองแขนขนาดใหญ่ ทั้งที่แผงประตู คอนโซลกลางแล้วก็ที่วางแขนกลางที่นั่งด้านหลังที่บุหนังหนานุ่ม ส่วนเบาะก็เน้นความนิ่มนวลสำหรับตลาดเอเซียตามแบบ Teana รุ่นปัจจุบัน


ภายในของ Sylphy รุ่นใหม่ มาแนวเดียวกันกับ Teana ปี 2013 ซึ่งความหรูหราต่างระดับกันแต่ยังเชื่อมโยงกันได้ แต่ความเรียบของ Sylphy ทำให้ Cruze และ Focus 2012 ดูมีความละเอียดละออในการตกแต่งภายในมากกว่า แต่ผู้ออกแบบบอกว่า ภายในของ Sylphy คือความเรียบที่หรูและดูมีสไตล์เป็นของตัวเอง



แผงประตูข้างดูเรียบมาก แต่น่าจะวางแขนได้สบายตามหลัก ergonomics สรีระศาสตร์ถูกต้อง ตามสไตล์ Nissan มีบุนวมหนานุ่มๆ ด้วย


พวงมาลัยรุ่นใหม่ที่ใ้ช้ร่วมกับ Tiida 2013 ด้วย มีปุ่มกดดู MID เพิ่มขึ้นมาด้านซ้าย ไม่ต้องเอื้อมมือไกลไปข้างๆ พวงมาลัยแบบ March


ดูจากไหล่แล้ว นายแบบน่าจะสูงประมาณ 175 ขึ้นไป มีพื้นที่ Headroom เหลือ ทั้งด้านหน้า และด้านหลังมากกว่าหนึ่งกำปั้น เบาะที่ใช้มีความหนาและใหญ่  แต่ก็ยังมีพื้นที่ Legroom เหลือพอสมควร น่าคาดหวังว่า แอร์เป่าด้านหลังจะมีอยู่ในรุ่นที่ผลิตในไทยด้วย

แอร์อัตโนมัติที่สามารถคุมอุณหภูมิแยกฝั่งซ้ายขวาได้


สุดท้ายเป็นภาพ Nissan Fuga รถซีดานขนาดใหญ่ full size E segment น่าจะพอเรียก Sylphy ว่า Baby Fuga ได้เหมือนสมัย Corolla ปี 2001 ที่ถูกเรียกว่า Baby Lexus อย่างกว้างขวาง เพราะมีหลายมุมที่ Sylphy และ Fuga มีความคล้ายคลึงกัน โดยผู้ออกแบบพยายามอย่างเต็มที่ๆ จะเสริมความคมสันและกล้ามเนื้อเหนือซุ้มล้อ เพราะต้องเพิ่มความดุดันให้กับช่วงด้านหน้าที่สั้นกว่า Fuga 

สำหรับกันชนหน้า ถ้าเขยื้อนตำแหน่งของไฟตัดหมอกไปที่ริมอีกนิด และเพิ่มขนาดของช่องดักลมให้กว้างขึ้น ก็อาจจะทำให้หน้าเหมือนกับ Fuga ได้เลยก็ได้

ส่วนรายละเอียดข้อมูลต่างๆนั้นผมก็ยังเฝ้ารออยู่ว่าตัวที่จะขายในบ้านเรา จะมีสเปคเรื่องยังไง มีอ๊อฟชั่นอะไรให้บ้างและที่สำคัญก็คือเรื่องราคาว่าเท่าไหร่ ยังไงถ้ามีความเคลื่อนไหวของเจ้า Sylphy อีกทีผมจะรีบนำเอาข้อมูลมาแบ่งบันกันนะครับ

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขยายเวลาส่งมอบรถ โครงการรถคันแรกอีก 90 วัน

ครม.ไฟเขียว ขยายเวลาส่งมอบรถคันแรกไม่มีกำหนด


ที่ประชุม ครม.ไฟเขียว ขยายเวลาส่งมอบตามโครงการรถคันแรกออกไปไม่มีกำหนด แต่จะต้องมีใบจองภายในสิ้นปี 2555 และจะต้องรีบยื่นเอกสารต่อกรมสรรพสามิต หลังได้รับมอบรถ ภายใน 90 วัน...

คณะ รัฐมนตรี อนุมัติขยายเวลาการรับส่งมอบรถ และยื่นเอกสารหลักฐานสำหรับโครงการรถคันแรก ออกไป 90 วัน ถัดจากวันส่งมอบรถยนต์ นอกจากนี้ยังอนุมัติงบกลาง 24 ล้านบาท ชดเชยผลขาดทุนการนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ จำนวน 30,000 ตัน 
 
นางสาวศันสนีย์  นาคพงษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ จังหวัดสุรินทร์ว่า ครม.อนุมัติขยายเวลาการรับส่งมอบรถ และเอกสารหลักฐานเพื่อดำเนินการโครงการรถคันแรกของรัฐบาล โดยไม่ขยายเวลาของโครงการที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวามคม 2555 แต่ขยายเวลาการรับส่งมอบรถ และเอกสารหลักฐานบางรายการออกไปก่อน แต่ต้องมีการสั่งซื้อหรือจอง ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555โดยมีหลักฐานสำคัญ คือใบจองรถยนต์  สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน  ส่วนเอกสารอื่นๆนำมายื่นเพิ่มเติมภายหลังได้  ภายใน 90 วัน ถัดจากวันรับมอบรถยนต์ ซึ่งต้องเป็นเอกสารที่ตรงกับชื่อในใบจองรถเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีการซื้อหรือขายใบจองรถยนต์  สำหรับสาเหตุที่ขยายเวลาส่งมอบรถ และเอกสารหลักฐาน เนื่องจากผู้ผลิตไม่สามารถผลิตรถยนต์ได้ทันกำหนด เพราะได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
 
 
นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการ ดำเนินการเกี่ยวกับ ' กองทุนตั้งตัวได้ ' ตามนโยบายรัฐบาลตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ 3 แนวทาง  ประกอบด้วยเห็นชอบให้จัดตั้งทุนหมุนเวียนเป็นกองทุนตั้งตัวได้ภายใต้การ ดำเนินการของกระทรวงศึกษาการ โดยให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 วงเงิน 5 พันล้านบาทในการดำเนินการ  และให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หารือแนวทางการบริหารจัดการเงินดังกล่าว
 
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบอนุมัติงบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 24 ล้านบาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนจากการนำเข้าน้ำมันปาลืมกึ่งบริสิทธิ์ จำนวน 30,000 ตัน โดยจะเบิกจ่ายตามผลการขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง โดยแบ่งเป็นเงินชดเชยผลการขาดทุนขององค์การคลังสินค้า หรือ อคส. ในการนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์จำนวน 10,000 ตัน เป็นเงิน 8 ล้านบาท ซึ่งจะมีการนำเข้าในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมหรือต้นเดือนสิงหาคมนี้
 
 
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ได้กำหนดปริมาณต๊อกที่อยู่ในระดับวิกฤตที่ 135,000 ตัน ซึ่งจากการตรวจสอบสต๊อกน้ำมันปาล์มทั้งระบบเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำมันปาล์มทั้งระบบทุกชนิดคงเหลือ 131,825 ตัน ซึ่งต่ำกว่าระดับวิฤตที่กำหนดไว้

ขณะที่ค่ายรถยนต์ คาดว่าจะมีผู้สนใจจองซื้อรถยนต์ ตามโครงการรถคันแรกในปีนี้ประมาณ 425,000 คัน และน่าจะทำให้การผลิตรถยนต์ในปีนี้ ทำได้ถึง 2 ล้านคัน

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังเห็นชอบให้ยกเว้นภาษีนำเข้า ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม การยกเว้นภาษีการขายให้ักับบุคคลธรรมดา โดยจะบังคับใช้จนถึงสิ้นปี 2557 เพื่อสนับสนุนกลุ่มอัญมณีไทย ให้เป็นศูนย์กลางอัญมณีของโลก.

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เน้นคุณภาพผลิต ซูซูกิ สวิฟท์ ใหม่ เร่งส่งมอบเร็วขึ้น

ค่ายรถยนต์“ซูซูกิ”เดินหน้าสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าชาวไทยเต็มที่ หลัง“สวิฟท์ ใหม่”ยอดจองล้นหลาม ประกาศเร่งกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิม หวังให้ลูกค้าได้รับรถเร็วที่สุด พร้อมขยายโชว์รูม-ศูนย์บริการมาตรฐานเป็น 70 แห่งทั่วประเทศภายในปีนี้ช่วงนี้ใครกำลังมองหารถยนต์นั่งขนาดเล็กมาใช้สักคัน คงเลือกยากลำบากตัดสินใจ นั่นเพราะเดิมเราอาจมีทางเลือกจำกัดอยู่แค่กลุ่ม“ซับคอมแพกต์” หรือพวก “บี-เซกเมนต์” เท่านั้น แต่เมื่อรถตระกูลอีโคคาร์ทยอยเปิดตัวเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ ย่อมส่งผลให้ตลาดมีความหลากหลายพร้อมสร้างสีสันและความคึกคักเป็นอย่างยิ่ง 
       
       สำหรับอีโคคาร์ถือเป็นกระแสใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ด้วยรูปโฉมโดดเด่น วางเครื่องยนต์ขนาดกะทัดรัด ขับขี่คล่องตัว กินน้ำมันน้อย แถมราคาน่าคบหา ล่าสุดตลาดเมืองไทยได้รถนามสกุลอีโคคาร์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรุ่นนั่นคือ “ซูซูกิ สวิฟท์ ใหม่”
 
       รายงานจาก บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ว่า หลังเปิดตัว “ซูซูกิ สวิฟท์ ใหม่” เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันยังได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย และสร้างกระแสความนิยมในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ด้วยดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก-ปลอดภัยครบครัน ตลอดจนสมรรถนะการขับขี่ยอดเยี่ยม ขณะเดียวกันยังให้อัตราประหยัดน้ำมันมากกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร ตามมาตรฐานรถยนต์อีโคคาร์
     
       ทางซูซูกิได้แสดงความขอบคุณผู้บริโภคชาวไทยที่ไว้ใจในรถยนต์ซูซูกิเสมอมา ซึ่งซูซูกิยังคงมุ่งพัฒนาคุณภาพของสินค้าตลอดจนมาตรฐานการบริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าต่อไป ส่วน“ซูซูกิ สวิฟท์ ใหม่”ที่ถึงวันนี้ยังมีความต้องการจากตลาดอย่างต่อเนื่อง และมียอดค้างส่งมอบอีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นซูซูกิจึงตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตโดยเร็วที่สุด
     
       อย่างไรก็ตามซูซูกิต้องคำนึงถึงคุณภาพที่ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นการเร่งกำลังการผลิตช่วงนี้จึงหวังให้ลูกค้าที่ได้ทำการจองรถเอาไว้แล้วได้รับรถเร็วที่สุด หรือไม่ให้รอรถนานจนเกินไป พร้อมประสานกับผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศให้สร้างความเข้าใจ และแจ้งข้อมูลที่แท้จริง เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า
       นอกจากนี้เพื่อรองรับการเติบโตของประชากรรถยนต์ซูซูกิในมืองไทย และอำนวยความสะดวกด้านการขาย และบริการหลังการขาย ซูซูกิยังมีแผนขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ซูซูกิเป็น 70 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2555 นี้อีกด้วย
     
       สำหรับ “ซูซูกิ สวิฟท์ ใหม่” เป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ผลิต ณ โรงงานซูซูกิ นิคมอุตสาหกรรมเหมราช จังหวัดระยอง ด้วยมูลค่าการลงทุน 7,500 ล้านบาท สอดรับกับโครงการอีโคาร์ของรัฐบาลไทยเพื่อทำตลาดในประเทศและรองรับการส่งออก
     
       “ซูซูกิ สวิฟท์ ใหม่” มาพร้อมรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว เส้นสายปราดเปรียวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภายในตกแต่งสไตล์สปอร์ต มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ทั้ง ระบบ Keyless Push Start ช่วยให้สตาร์ทรถได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ชุดเครื่องเสียงรองรับ CD MP3พร้อมช่อง USB 
     
       ด้านเครื่องยนต์เบนซิน รหัส K12B ขนาด 1242 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบ VVT วาล์วแปรผันทั้งฝั่งไอดี-ไอเสีย ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตันเมตรที่ 4,800 รอบต่อนาที รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT
      
       การขับขี่คล่องตัวด้วยรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.8 เมตร ขณะที่เสถียรภาพการทรงตัวยอดเยี่ยมด้วยระยะฐานล้อกว้าง และมาพร้อมช่วงล่างหน้าแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมคอยล์สปริง หลังทอร์ชั่นบีม ส่วนระบบความปลอดภัยให้มาทั้ง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า และระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD
     
       บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งใจนำเสนอรถยนต์คุณภาพและบริการมาตรฐานให้ลูกค้าชาวไทย หากลูกค้ามีข้อเสนอแนะ หรือต้องการสอบถามปัญหาต่างๆ สามารถเข้าไปชมเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ www.suzuki.co.th หรือเบอร์โทรศัพท์ฮ็อตไลน์ 1800-600-900 มือถือโทร 1401-600-900
ซูซูกิ สวิฟท์ เป็นดาวเด่นในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2012 ที่ผ่านมา
      
      
      
ซูซูกิ สวิฟท์ ลุคเข้มด้วยชุดแต่งสปอร์ตรอบคัน
      
       

มาแล้วราคาแจ๊สไฮบริด7.68แสน พร้อมรับประกันมอเตอร์5ปี

Jazz Hybrid 1.3 IMV Thailand

ฮอนด้าออโตดมบิล เปิดตัวแจ๊สไฮบริด เครื่องลูกผสมมอเตอร์ไฟฟ้า 1.3 ซีซี ราคา 7.68 แสนบาท รุ่นเดียวราคาเดียว รับประกันมอเตอร์ 5 ปี


  1. ภายในแอร์ออโต้  เหมือนตัวนำเข้า
  2. จอ MID
  3. มาตรวัดเรืองแสงเปลี่ยนสีได้ตามอัตราสิ้นเปลือง จากฟ้าไปเขียว ( Eco Coaching)
  4. ปุ่ม ECON mode
  5. รับประกัน 5 ปีทั้งระบบไม่จำกัดระยะทาง
  6. เกียร์ CVT
  7. ไฟหน้า ไฟท้าย โคมสีอมฟ้า
  8. โครเมี่ยมท้าย
  9. ล้อลายเดียวกับรุ่น v
  10. ปุ่มปรับเครื่องเสียงที่พวงมาลัย USB
  11. SRS , ABS , EBD
  12. เซนเซอร์หลัง
  13. ไฟเบรคดวงที่ 3 LED
  14. กุญแจแบบเดิม พับไม่ได้

(26 ก.ค.) นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ฮอนด้าน จะเริ่มจำหน่ายแจ๊ซไฮบริด เครื่องยนต์อัจฉริยะ i-VTEC ขนาด 1.3 ลิตร ในราคาอยู่ที่ 768,000 บาท โดยจำหน่ายรุ่นเดียว และราคาเดียว ทั้งนี้ การเปิดตัวในประเทศไทยวันนี้นับเป็นหนึ่งในนวัตกรรมของฮอนด้าที่ใช้เทคโนโลยีไฮบริด ผสานการทำงานร่วมกับเครื่องยนต์อัจฉริยะ ทำให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และถือเป็นยนตรกรรมไฮบริดในรถซับคอมแพคท์รุ่นแรก และรุ่นเดียวที่มีจำหน่ายในประเทศไทยในปัจจุบัน  Jazz Hybrid ใช้ระบบไฮบริดร่วมกับเครื่องยนต์ i-VTEC 1.3ลิตร กำลังสูงสุด88แรงม้า(5,800รอบ/นาที) ใช้น้ำมัน21.4กม/ลิตร
โดย ฮอนด้า รับประกันแบตเตอรี่ Jazz Hybrid ทั้งระบบ 5 ปี-ไม่จำกัดระยะทาง และได้สิทธิคืนภาษีรถคันแรกอีกด้วย

ข้อมูลเบื้องต้น Jazz Hybrid
แจ๊ซ ไฮบริด มีมอเตอร์ไฟฟ้าไฮบริดแบบ IMA  เครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.3 ลิตร เครื่องยนต์จะให้กำลังสูงสุด 88 แรงม้า (ที่ 5,800 รอบต่อนาที) และมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 14 แรงม้า (ที่ 1,500 รอบต่อนาที) เครื่องยนต์ให้แรงบิดสูงสุด 121 นิวตัน-เมตร (ที่ 4,500รอบต่อนาที) และมอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงบิดสูงสุด 78 นิวตัน-เมตร (ที่ 1,000 รอบต่อนาที) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน และเสริมแรงด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกตัวและเร่งแซง เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำคงที่ เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน และเข้าสู่ EV Modeโดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว

ในขณะที่เครื่องยนต์เข้าสู่ EV Mode จะไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ช่วงลดความเร็วหรือเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงานระบบจะนำพลังงานที่สูญเสียไปในขณะเบรกมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งกลับคืนสู่แบตเตอรี่ไฮบริดเพื่อเก็บพลังงานไว้ใช้ต่อไป และเมื่อรถหยุด เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานอัตโนมัติและเข้าสู่โหมด Idling Stop เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน และลดมลพิษ ทั้งนี้เทคโนโลยีไฮบริด ช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึงประมาณ 21.3 กิโลเมตรต่อลิตร (หรือ 4.7ลิตร/100 กิโลเมตร) และปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 110 กรัมต่อกิโลเมตร (ข้อมูลการทดสอบภายในของฮอนด้า)

แจ๊ซ ไฮบริด ยังมีอุปกรณ์มาตรฐานสไตล์สปอร์ตใหม่ล่าสุด อาทิ กระจังหน้า ไฟหน้าไฟท้ายแบบใหม่ดีไซน์ไฮบริด คิ้วโครเมียมฝากระโปรงท้าย ล้อแม็กอัลลอยขนาด 15 นิ้ว ปุ่ม ECON ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ หน้าจอแสดงข้อมูล MID หน้าจอแสดงข้อมูลสถานะการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งนี้ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย เครื่องเสียงแบบโมดูลพร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX กล่องเก็บของใต้เบาะนั่งหลัง ช่องเก็บของบริเวณคอนโซลกลางอเนกประสงค์ พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายกว้างขวาง รองรับทุกรูปแบบไลฟ์สไตล์ด้วยเบาะนั่งอัลตรา ซีทที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายโหมด เสริมความมั่นใจด้วยโครงสร้างตัวถังรถยนต์แบบ G-CON นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยมาตรฐานด้วยถุงลมคู่หน้า Dual SRS และระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD

ล้อแม็กคืออะไร

ล้อแม็ก

          ปัจจุบันความนิยมในการทำสวยให้รถยนต์ด้วยการใส่ล้อแม็กวงโตๆ ควบคู่ไปกับยางซีรี่ส์ต่ำๆ กำลังเป็นที่นิยมกันมาก ซึ่งเดี๋ยวนี้ ขนาดของวงล้อนั้น "เลยเถิด ไปจนถึงระดับ 20 นิ้วขึ้นไปกันแล้ว แต่นั่นก็ถือว่าเป็นเพียงการเล่นกันแค่ในเฉพาะบางกลุ่ม เพราะล้อ และ ยางขนาดที่ว่ามานั้น 1 ชุดมีราคาแพงมากระดับที่สามารถจะซื้อรถยนต์มือสองมาขับเล่นกันได้สบายๆ ซึ่งในระดับปกติ ที่ชาวบ้าน เล่นกันนั้น ก็จะอยู่ประมาณ 16-17 ไปจนถึง 18 นิ้ว ตามสูตร "บวกสอง" จากขนาดปกติที่ทางโรงงานให้มา ซึ่งเป็นขนาด ที่จัดว่า "เล่นได้" และให้ความสวยงามกับตัวรถในแบบที่คุ้มค่าลงตัวเป็นที่สุด


  ล้อแม็กวันนี้เหลือแค่ชื่อ

           หลายท่านคงเคยสงสัยว่าทำไมต้องเรียกล้อรถยนต์ที่ไม่ใช้ล้อเหล็กปั๊มจาก โรงงานว่า "ล้อแม็ก" นั่นก็เพราะว่า "ล้อแม็ก" ในสมัยก่อนถูกผลิตขึ้นมาโดยมี "แมกนีเซียม" เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต เพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนักของ กระทะล้อ ให้น้อยลง ล้อแม็กจึงมีน้ำหนักเบากว่าล้อเหล็กแบบเดิม จากคุณสมบัติของ แม็กนีเซียม ที่เป็นโลหะน้ำหนักเบา และนั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า "ล้อแม็ก" ที่เรียกกัน ต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน

 แต่ด้วยข้อด้อยของล้อแมกนีเซียมในด้านต้นทุนการผลิตที่แพงมาก บวกกับคุณสมบัติของเนื้อแมกนีเซียม ที่ง่ายต่อการสึกกร่อน เมื่อนำมาใช้งานกับรถยนต์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ความนิยมในตัวล้อแมกนีเซียมแท้ๆ จึงค่อยๆ จางไป พร้อมกับการเข้ามาแทนที่ของ ล้ออลูมินั่มอัลลอย ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่า ผลิตได้ง่ายกว่า

หน้าที่หลักที่ไม่ใช่แค่สวย

           พัฒนาการของล้อแม็กนั้น เริ่มขึ้นในวงการรถแข่ง จากความต้องการที่จะให้กระทะล้อที่มีน้ำหนักเบา เพื่อลดแรงต้านทาน การหมุน ให้ได้มากที่สุด รวมทั้งคุณสมบัติปลีกย่อยต่างๆ ซึ่งถือเป็นผลพลอยได้ที่ตามมาก็คือ การลดภาระให้กับระบบกันสะเทือน และ บังคับเลี้ยวซึ่งจะส่งผลให้การบังคับควบคุมรถเป็นไปได้อย่างฉับไว รถมีการตอบสนองต่อคำสั่งได้ดี และเร็วขึ้น 
  
สุดท้ายก็คือ เรื่องการช่วยระบายความร้อนจากคุณสมบัติของตัววัสดุคือแม็กนีเซียม และ อลูมินั่มอัลลอยที่มีการอมความร้อนน้อยกว่าเหล็ก โดยจะส่งผ่านความร้อน ทั้งที่เกิดจากล้อยาง เสียดสีกับพื้นถนนเวลาวิ่ง ตลอดจนความร้อนที่เกิดจาก การเบรคออกออกสู่ภายนอก ได้เร็วกว่า กระทะเหล็กธรรมดา ซึ่งคุณประโยชน์ต่างๆ ของล้อเม็กที่กล่าวมานี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่มองข้ามไป ไม่ได้ ในวงการแข่งรถ แต่สำหรับรถที่ใช้งานบนถนนทั่วไป การเลือกซื้อล้อแม็ก อาจจะคำนึงถึง ความสวยงาม ขนาดรูปแบบและวิธีการผลิตเป็นสำคัญก่อน โดยเรื่องความสวยงามนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ รสนิยมของแต่ละบุคคลซึ่งคนส่วนใหญ่ มักจะใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกซื้อเป็นหลักอยู่แล้ว 

 เรื่องขนาดก็ถือว่าสำคัญไม่แพ้กันเพราะล้อแม็กวงโตๆ จะช่วยขับให้รถดูสวยโดดเด่นขึ้นมาทันที (หากเลือกซื้อได้ลงตัว) แต่ โปรดทราบว่าการใส่ล้อที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติจนเกินไปนั้น จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เริ่มจากช่วงล่าง หรือระบบกันสะเทือนของรถ ที่ต้องรับภาระมากกว่าปกติกินแรงของเครื่องยนต์จากน้ำหนักที่มากขึ้น และหน้าสัมผัสของยางที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเร่ง และ ความเร็วสูงสุดของรถน้อยลงไป
 ระยะ PCD หรือ "Pitch Circle Diameter" คือ ระยะห่างของรูน็อต ที่ตัวล้อแม็ก และดุมล้อต้องมีระยะที่เท่ากัน มีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร โดยส่วนมาก รถรุ่นใหม่ๆ ที่มีน็อตล้อแบบ 4 รูจะมีระยะ PCD 100 มม. แต่ก็มีอีกมากมาย หลายรุ่นที่ใช้ค่า PCD ขนาดอื่นๆ เช่น 98, 108, 110, 114.3 ซึ่งต้องเลือกดู ให้ดี  

 และอีกค่าที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ "ค่าอ๊อฟเซ็ท" ซึ่งก็คือ ค่าที่บอกตำแหน่งของหน้าแปลนด้านในของล้อแม็ก ที่สัมผัสกับดุมล้อเมื่อเทียบวัดกับกึ่งกลางของล้อแม็กในด้านข้าง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรเช่นกัน ดูง่ายๆ คือ ถ้าล้อแม็กมีค่าอ๊อฟเซ็ท เป็น บวก เมื่อใส่เข้าไปแล้วล้อนั้นจะยื่นออกมาน้อยกว่าล้อแม็กที่มีค่าอ๊อฟเซ็ทเป็นลบ ซึ่งตัวแปรอีกอย่างที่จะบอกว่าเมื่อใส่ล้อแม็กชุดนั้น เข้า ไปแล้ว ล้อจะ "ล้น" หรือจะ "ซุก" เข้าไปในอุโมงค์ล้อก็คือ ความกว้างของล้อแม็ก ซึ่งเวลาซื้อก็ควรจะต้องทำการเทียบวัดให้ดีเสียก่อน ตัดสินใจ 

 

หมายเหตุ
*P.C.D. คือ เส้นผ่าศูนย์กลางของวงกลมที่ลากผ่านจุดกึ่งกลางรูน็อตของล้อทั้งหมด
**Offset คือ ระยะห่างระหว่างเส้นกึ่งกลางกระทะล้อกับหน้าแปลนดุมล้อ

การเลือกยางและขนาดล้อแม็กซ์

การเลือกขนาดล้อแม็กซ์ 

ล้อแม็กวงโต 16 17 18 นิ้่ว จะติดขอบบัีงโคลนไหม ขนาดเท่าไรสวย จะคดง่ายไหม จะอืดไหม?
     แค่เห็นตัวเลขเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อแม็กใหญ่กว่าเดิ มหลายนิ้ว หลายคนก็รีบตั้งคำถามในใจหรืออาจสรุปไปเลยว่า ใส่แล้วต้องติดบังโคลน ต้องคดง่าย อัตราเร่งจะอืด ทั้งที่ยังไม่ได้ดูขนาดยางและรายละเอียดอื่นเลย
     หนึ่งในการตกแต่งรถยนต์ขั้นพื้นฐาน ราคาไม่แพงนัก มีให้เลือกซื้อสารพัดยี่ห้อ สวยแปลกตาขึ้นฉับพลันในชั่วโมงเดียว แต่ก็มีคำถามค้างคาใจว่า
ขนาด 16 17 18 นิ้ว ใส่เข้าไปแล้วจะติดบังโคลนไหม ?
ขนาดเท่าไรสวย ลังเล ใหญ่เกินไปก็กลัวผลกระ ทบที่ตามมา เล็กไปก็กลัวไม่สวย ?
จะคดง่ายไหม เลือกวงเล็กไว้ก่อนดีไหม จะได้คดยาก ?
ล้อแม็กวงโตจะทำให้อัตราเร่งอืดไหม ?
สารพัดความกลัว ที่เกิดขึ้นเพราะไม่มองให้ลึกแล้วรีบสรุป สวย หรือดีด้านประสิทธิภาพด้วย
     การเปลี่ยนล้อแม็กวงโต เส้นผ่าศูนย์กลางมากขึ้น ถูกเปลี่ยนพร้อมยางแก้มเตี้ยลงและกว้างขึ้น เพื่อรักษาเส้นรอบวงให้ใกล้เคียงยางมาตรฐานเดิม และรับกับความกว้างของล้อแม็กที่เพิ่มขึ้น
     ความต้องการหลักอยู่ที่การเพิ่มความสวยงาม ส่วนอื่นเป็นเรื่องรองลงไป เช่น ประสิทธิภาพการทรงตัวและการเกาะถนนที่เพิ่มขึ้น จากความกว้างของยางที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้หน้ายางที่สัมผัสพื้นกว้างขึ้นตามไปด้วย แก้ม ยางที่เตี้ยลงก็โย้ตัวยากขึ้น ไม่เซ และลดการยกตัวของหน้ายาง
     แม้ประสิทธิภาพการเกาะถนนจะเพิ่มขึ้นจริง แต่ก็นับเป็นผลพลอยได้ที่มีโอกาสได้ใช้น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ขับเร็วและเข้าโค้งดุเดือด เท่าไรนัก กี่นิ้วดี ? อย่าลืมยาง !
     การเลือกขนาดล้อแม็ก ประเด็นสำคัญอยู่ที่เส้นผ่าศูนย์กลาง เช่น 15, 16, 17 หรือ 18 นิ้ว ส่วนความกว้าง 6, 7, 7.5 หรือ 8 นิ้วเป็นเรื่องรองลงไป เช่นเดียวกับระยะ ออฟเซต (ระยะยื่น) ที่ยังมีหลายคนไม่เข้าใจ ส่วนใหญ่จึงพิจารณาแต่ตัวเลขเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 16 17 18 นิ้ว แต่ก็ยังเกิดปัญหากับตัวเลขของล้อแม็ก เห็นตัวเลขมากแล้วกลัวติดบังโคลน กลัวคดง่าย กลัวอืด กลัวแพง ทั้งที่รถยนต์ไม่ได้แล่นบนล้อเหล็กไม่มียางแบบรถไฟ แต่ต้องมียางหุ้มล้ออีกชั้น ดังนั้นอย่าลืม...ยาง
     ไม่ควรรีบสรุปขนาดโดยรวมด้วยตัวเลข 15 16 17 18 นิ้ว เพราะต้องขึ้นอยู่กับขนาดยางด้วย
     สมมุติล้อเดิมขนาด 15 นิ้ว ใส่กับยางแก้มสูง หาก เปลี่ยนมาใส่ขอบ 17 นิ้ว ตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 2 นิ้ว ดูแล้วน่าตื่นเต้น แต่ถ้าประกบด้วยยางแก้มเตี้ยบางเฉียบ เส้นรอบวงโดยรวมของล้อ 17 นิ้ว อาจเตี้ยกว่ายางขอบ 15 นิ้ว ชุดเดิมก็เป็นได้ ส่วนความกว้างและออฟเซตค่อยว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
     ดังนั้นอย่าตื่นเต้นว่าจะต้องเกิดปัญหา เมื่อเปลี่ยน ล้อแม็กขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายนิ้ว เพราะยังต้องเกี่ยว ข้องกับขนาดยาง ความกว้างของล้อและระยะออฟเซตด้วย เลือกกี่นิ้วดี ?
     ในเมื่อจุดประสงค์หลักของการเปลี่ยนล้อแม็กวงโต อยู่ที่ความสวยงามเป็นหลัก ตามหลักการแล้ว ยิ่งล้อแม็กขนาดใหญ่ขึ้นเท่าไรก็ยิ่งสวย
+1 นิ้วจากเดิม เช่น จาก 15 เป็น 16 นิ้ว เสียเงินเปล่า แทบไม่สวยขึ้น ดูครึ่งๆ กลางๆ
+2 นิ้วจากเดิม เช่น จาก 15 เป็น 17 นิ้ว ถือเป็นมาตรฐานที่น่าจะสวยขึ้น ถ้าเลือกลายและขนาดยางที่พอเหมาะ ราคาพอรับได้ รวมๆ แล้วไม่แพงจาก +1 นิ้วสักเท่า ไร แต่สวยกว่า +1 นิ้วพอสมควร
+3 นิ้วจากเดิม (หรือกว่านั้น) เช่น จาก 14 เป็น 17 นิ้ว สวยเหลือเฟือแน่ๆ แต่เลือกยาก ถ้าจะไม่ให้ติดขัดกับชิ้นส่วนอื่น และราคาแพงทั้งล้อแม็กและยาง
ปัจจุบันนี้มีสูตร +2 +3 +4 นิ้ว เช่น จากเดิม 15 นิ้ว ขยับเป็น 17 18 หรือพยายามใส่ 19 นิ้วก็ยังมี จึงเป็นบท สรุปตายตัวด้านความสวยว่า ยิ่งใส่ล้อแม็กวงโตเข้าไปโดยไม่เกิดปัญหาและมีเงินจ่ ายก็ยิ่งสวย
     คนในเมืองนอกเล่นกันดุเดือดขนาด +2 +3 นิ้วกันเพียบ แต่คนไทยหลายคนยังลังเลว่าจะเพิ่มขนาดแบบ +1 หรือ +2 นิ้วดี บอกได้ว่าถ้าเน้นความสวยให้ลืมสูตร +1 นิ้วไปได้เลย เพราะด้านความสวยแทบจะเสียเงินฟรี ! อย่างน้อยให้เริ่มจาก +2 นิ้ว และถ้ามีเงินจ่ายและอยากสวยสุดๆ ต้องเลือก +3 นิ้วจากเดิม ระยะออฟเซต
     มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร คือระยะยื่นหรือหุบของล้อ แม็กมีผลต่อการกระแทกกับบังโคลนกับยาง ตัวเลขยิ่งน้อยหรือติดลบ เมื่อใส่ล้อเข้าไปกับดุมจะยิ่งยื่นออกมาด้านนอก     เลือกล้อแม็กที่มีระยะออฟเซตใกล้เคียงกับล้อเดิมจากโรงงาน ดูตัวเลขได้แถวๆ ตัวย่อ ET หรือถ้าใช้วิธีตามภาค
ปฏิบัติก็ให้ใส่ล้อและยางเข้ากับรถยนต์ ขยับรถยนต์สัก 5-10 เมตร เพื่อให้ช่วงล่างทำงานและยุบตัวมาอยู่ในระยะปกติ จอดแล้วหาคนนั่งด้านหลัง 2-3 คนและให้ขย่มแรงๆ สังเกตว่ายางต้องซุกเข้าไปหลังขอบบังโคลนได้ ห่างจากบังโคลนแบบเฉี่ยวๆ 0.5-2 เซนติเมตร และยางต้องไม่หุบเข้าไปด้านในบังโคลนมากเกินไป เพราะจะดูไม่เต็มและไม่สวย

ขนาดยาง ต้องคำนวณหรือยกเทียบ
     เน้นที่เส้นรอบวงภายนอกของยาง ต้องใกล้เคียงยางมาตรฐานที่ติดมาจากโรงงานที่สุด ถ้ายางที่เปลี่ยนใหม่มีเส้นรอบวงมากขึ้น อัตราเร่งจะอืด มาตรวัดความเร็วจะแสดงผลน้อยกว่าความเร็วจริง (ไมล์แข็ง)     ถ้ายางที่เปลี่ยนใหม่มีเส้นรอบวงน้อยลง อัตราเร่งจะดี แต่จะได้ระยะทางต่อเกียร์น้อยลง เพราะล้อหมุนแต่ละรอบได้ระยะทางสั้นลง มาตรวัดความเร็วจะแสดงผลมากกว่าความเร็วจริง (ไมล์อ่อน)

การปรับตัวของยางใหม่
              ยางรถยนต์เส้นใหม่ก็เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ใหม่ เมื่อเริ่มนำไปใช้งานจริงก็ต้องมีการปรับสภาพตัวเองไปกับการใช้งาน หรือที่เรียกกันว่า ระยะรันอิน (run in) ดังนั้น
ในระยะ 100-200 กิโลเมตรแรกของการใช้งาน จึงไม่ควรใช้ความเร็วสูงเกินไป ควรขับขี่อยู่ที่ความเร็วไม่เกิน 80-100 กม./ชม. เพื่อให้โครงยาง แก้มยางและหน้ายางปรับสภาพไปกับการใช้งานบนพื้นผิวถนน เนื่องจากมุมล้อของรถแต่ละคันนั้น ไม่ว่าจะเป็น มุมโท (toe) มุมแคมเบอร์
(camber) หรือ มุมคาสเตอร์ (caster)ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ยังเป็น การถนอมช่วงล่างของรถอีกด้วย
     ยางขอบ 17 นิ้ว ไม่แน่ว่าจะมีเส้นรอบวงมากกว่ายางขอบ 15 ,17 หรือ 18 นิ้ว ซีรีส์ต่ำแก้มเตี้ยบางเฉียบก็มี

     มี 2 วิธีสำหรับการเลือกขนาดยาง
คำนวณตามสูตรหารัศมี เส้นผ่าศูนย์กลาง และเส้นรอบวง แม้ไม่ยาก แต่ก็ยุ่งสำหรับหลายคน
หลายคนจำสูตรคำนวณไม่ได้ และไม่อยากยุ่งยาก ก็ไม่ต้องคำนวณให้งง
สนใจจะเปลี่ยนเป็นยางขนาดใดก็ให้ยกเทียบ ถ้าจะให้แม่นยำต้องใส่ยางเข้ากับกระทะล้อและสูบลมสัก 30 ปอนด์ฯ จึงยกเทียบ แต่ถ้าไม่สะดวกเพราะทางร้านไม่ยอมทำให้ แค่ยกเฉพาะยางเปล่าๆ มาตั้งเทียบกับยางเดิมก็พอทราบ
     เมื่อยกเทียบความสูงโดยรวม (ไม่ใช่แค่แก้ม) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเส้นรอบวง ถ้ามีความสูงแตกต่างกันเล็กน้อยก็พอรับได้ เช่น
ยางใหม่เตี้ยกว่าเดิมไม่เกิน 1 เซนติเมตร เมื่อใส่เข้ากับรถยนต์ รัศมีจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร หรือรถยนต์สูงขึ้นไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร
ยางใหม่สูงขึ้นไม่เกิน 2 เซนติเมตร เมื่อใส่เข้ากับรถยนต์ รัศมีจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร หรือรถ ยนต์สูงขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร
     กรณีเปลี่ยนล้อแม็กวงโตขึ้นตามสูตร +2 นิ้ว เมื่อจะเลือกยางก็มักพบว่ายางจะมีขนาดใกล้เคียงเดิมหรือสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งถือว่าดีกว่าเตี้ยลง เพราะถ้าเตี้ยลง ระยะห่างระหว่างยางกับขอบบังโคลนจะมีมากขึ้นจนดูไม่สวย (ยางเดิมก็ห่างมากอยู่แล้ว) เลือกยางใหม่ให้มีความ สูงพอๆ กับยางเดิม หรือสูงขึ้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร ถือว่าลงตัว
     ส่วนความกว้างของยาง ถ้าไม่ได้เน้นรีดแรงม้าลงพื้น ด้วยเครื่องยนต์หลายร้อยแรงม้า ไม่เน้นความสวยแบบดุดันด้วยล้อแม็กและยางกว้างๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ขอสวยแค่พอประมาณ และกังวลกับเรื่องความอืด หรือกลัวช่วงล่างพังเร็ว ก็ให้เลือกยางที่มีความกว้างน้อยที่สุดเท่าที่มีและใ ส่กับล้อแม็กวงนั้นได้อย่างเหมาะสม เช่น ล้อแม็กใส่ยางกว้าง 215 หรือ 225 มิลลิเมตรก็ได้ ควรเลือกยางขนาด 215 มิลลิเมตร แต่ถ้าอยากสวยแบบดุๆ และยอมรับข้อเสียได้ก็เลือกให้กว้างสุดๆ เท่าที่จะใส่ได้โดยไม่ติดขัด
คดง่ายไหม
     หลายคนกังวลเมื่อจะเปลี่ยนล้อแม็กวงโต เหมารวมว่าล้อแม็กที่มีขนาดตัวเลขมาก เช่น 17 นิ้ว จะคดง่าย กว่าตัวเลขน้อย เช่น 16 หรือ 15 นิ้ว
     ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของวัสดุที่นำมาผลิต ขบวน การผลิต รูปแบบและขนาดของก้านล้อแม็ก
     สรุปง่ายๆ คือ ล้อแม็กขอบ 16 นิ้วเนื้อนิ่มหรือก้านบางเล็ก อาจคดง่ายหรือเปราะกว่าล้อแม็กขอบ 17 นิ้วเนื้อแข็งหรือก้านหนาก็เป็นได้ จะคดง่ายหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับหลายส่วนประกอบ ไม่ใช่แค่ขนาดของล้อแม็กว่า เป็นกี่นิ้ว ดังนั้นหากมีโอกาสก็ควรสนใจคุณภาพและความหนาบางของก้านล้อแม็กไว้ด้วย

อัตราเร่งอืดไหม ?
     หลายคนรีบมองว่าเมื่อใส่ล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว จะต้องอืดกว่าเมื่อใส่ขอบ 15 นิ้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจริง แต่ไม่ใช่ความจริงเสมอไป เพราะถ้าล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว มีเนื้อแน่น วัสดุแข็งแรง ทำให้ผลิตได้บาง ก้านบาง ยางแก้มเตี้ย และไม่กว้างมาก เส้นรอบวงโดยรวมและน้ำหนักรวมพอๆ กับตอนใช้ล้อแม็กขอบ 15 นิ้ว อัตราเร่งก็อืดลงนิดเดียวเพราะความกว้างของยางที่มากขึ้น ล้อแม็กวงโตคุณภาพดี + ยางแก้มเตี้ย
     หลายชุดพบว่ามีน้ำหนักรวมแทบไม่ต่างจากล้อแม็ก วงเล็กเดิมๆ เลย โดยส่วนใหญ่ที่ทำให้อัตราเร่งอืดลง เป็นเพราะล้อแม็กวงโตใช้วัสดุไม่ดี จึงต้องทำให้หนาและก้านโตหนาไว้ก่อน น้ำหนักโดยรวมจึงมากขึ้น เมื่อบวกกับยางที่กว้างขึ้น ก็จึงทำให้อัตราเร่งอืดลงจนสัมผัสได้
     การเลือกล้อแม็ก ถ้าสนใจเรื่องอัตราเร่งก็ควรเลือกทั้งเส้นรอบวงโดยรว ม น้ำหนัก และความกว้างของยางให้ใกล้เคียงเดิม

ใส่แล้วช่วงล่างพังไหม ?
     เป็นคำถามยอดนิยม ซึ่งมีคำตอบ คือ อายุสั้นลงบ้าง แต่ไม่ได้สั้นลงมาก และไม่ได้พังในทันที พิสูจน์ได้จากรถยนต์หลายรุ่น ที่มีหลายรุ่นย่อย ซึ่งใช้ล้อและยางต่างขนาดกัน ตั้งแต่ล้อวงเล็กในรุ่นพื้นฐาน ไปจนถึงวงโต ในรุ่นพลังแรง ก็แทบไม่พบว่ามีการใช้ลูกหมาก บู๊ช และลูกปืนล้อต่างรุ่นกันเลย
     ดังนั้นจึงสามารถสบายใจได้ว่า อายุการใช้งานของ ช่วงล่างที่ใส่ล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ยจะสั้นลงบ้ างเท่านั้น และถ้ามีน้ำหนักรวมไม่ต่างจากเดิมมากและยางไม่ กว้างนัก ก็ยิ่งแทบไม่ลดทอนอายุของช่วงล่างเลย ขนาดตามตัวเลขไม่ใช่ผลกระทบหลัก แต่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักรวมและความกว้างของยางมากกว่า

*****หลายเรื่องของล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ย เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา เพราะการมองอย่างผิวเผิน หากมองลึกสักหน่อยก็จะเข้าใจได้ดีขึ้น
======================================================